VISIT LAOS

Tuesday, May 20, 2008

KlongLor cave - KhamMuan trip

อ้ายไปเบิ่งถ้ำหลวงบ่?
ด้วยคำบอกเล่าของเพื่อนคนลาว ว่ามีถ้ำใหญ่และยาวมากกลางป่าแถวๆ แขวงคำม่วนของประเทศลาว เพิ่งจะเปิดเป็นที่ท่องเที่ยวแนวผจญภัย เมื่อมีโอกาสจึงได้รวบรวมเพื่อนๆ อีก 5 ชีวิต เดินทางไปดูให้เห็นกับตา....ถ้ำนี้ไม่มีระบุในแผนที่ท่องเที่ยวของลาวและของประเทศ จึงได้แต่อาศัยคำบอกเล่า ว่าให้เดินทางไปยังสถานที่เริ่มต้น และถัดไปแบบงง..งงเริ่มต้น ข้ามแดนไทย - ลาว ที่จ.มุกดาหาร ไปเมืองท่าแขก ครึ่งวันบ่ายพวกเรา วันเวียนเที่ยวแถวๆ ท่าแขก อย่างเช่น ถ้ำนางแอ่น ถ้าพระทอง พระธาตุพี่น้องกับพระธาตุพนม กลับมากินร้านอาหารเวียดนาม แบบบุฟเฟ่ต์ แถมที่เรือนพักยังมีงานดอง (แต่งงาน) อีก เลยโผล่แวปๆ เข้าไปดู เช้าขึ้นมาเดินไปขึ้นรถสองแถวที่ท่ารถใกล้ๆ รถสองแถวปุเรงปุเรงพาพวกเราออกห่างจากตัวเมืองไปเรื่อยๆ สองข้างทางเป็นทิวเขาลูกน้อยใหญ่ มีหมอกยามเช้าพัดผ่าน ทิวทัศน์สวยงามไม่แพ้วังเวียงเลยทีเดียว จนสามชั่วโมงจึงพาพวกเรามาส่งเมืองหนึ่งก่อนถึงปากซัน ต้องต่อรถอีกทอดเข้าไปยังหมู่บ้านที่ใกล้กับถ้ำที่สุด มีเวลาให้พวกเราสำรวจตลาด ซึ่งเล็กมากๆใช้เวลาเดินแค่ไม่กี่นาที สินค้าข้าวของก็น้อยแสนน้อย มีอย่างละร้าน ขึ้นๆลงๆ รถเสียหลายรอบไม่รู้ว่ารถจะออกเมื่อไหร่ จนแล้วจนรอดก็มาถึงที่หมายที่หลับนอนแบบโฮมสเตย์ สอบถามหาคนที่แนะนำมาให้เขาช่วยหาบ้านโฮมสเตย์ให้ แต่ต้องนอนบ้านละ 3 คน เนื่องจากบ้านของเขาไม่ใหญ่นัก ก็เอาเสื่อและฟูกมารองปูนอนให้แถมมุ้งให้อีกหลัง วางข้าวของแล้วออกไปเดินเล่นรอบหมู่บ้าน ลักษณะบ้านเป็นแบบยกพื้นปูด้วยไม้กระดาน ตั้งอยู่ซีกหนึ่งของแม่น้ำ ส่วนอีกฝั่งเป็นเขาหรือไม่ก็หน้าผาสูงชันน้ำใสไหลเลียบหมู่บ้านชาวบ้านบางคนก็พายเรือกลับมาจากไปหาปลาบ้างไปไร่นามาบ้างหลายคนเดินข้ามน้ำที่ไม่ลึกมาหอบตะกร้าใส่เห็ดโคนมาจนเต็ม ซึ่งเห็ดโคนนี่เองได้กลายเป็นอาหารเย็นแสนอร่อยของพวกเรา ท้ายหมู่บ้านมีท่าน้ำข้างโรงเรียนหลายคนเดินหาบถังน้ำข้ามไปฝั่งตรงข้าม เห็นเด็กๆ บอกว่าเป็นตาน้ำผุดออกมาจากหน้าผา ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์เลยเอาไว้ดื่มกิน หยุดถ่ายรูปกันกลางน้ำเสียหลายช๊อต พอข้ามไปถึงพบว่ามีทางแยกน้ำเข้าไปใต้หน้าผาสูงปริมาณเยอะอยู่ เด็กๆ ชวนเล่นน้ำกันสนุกสนาน จนเริ่มมืดจึงเดินกลับ.....

เจ้าของบ้านยกสำหรับมาเสริฟพร้อมกระติ๊บข้าวเหนียว แกก็ใจดีถามว่ากินได้ไหม จะเอาข้าวขาวไหม พวกเรารีบบอกไม่ต้องหรอกกินได้ อาหารหลักจานใหญ่เป็นเห็ดโคนผัดน้ำมันหอย ไข่เจียว และน้ำพริกเผ็ดจี๊ด ของหวานเป็นสับปะรดที่ซื้อมาจากตลาดตอนกลางวัน หัวละ 5 บาทเอง นั่งเล่นไพ่กันสักพัก เจ้าของบ้านมาบอกว่านอนได้แล้ว คนที่นี่นอนกันเร็วเนอะ จึงได้มีแต่ลูกเด็กเล็กแดงวิ่งกันให้ทั่วไปหมด 5550 เช้าตื่นขึ้นมากะว่าจะไปใส่บาตรเสียหน่อยแต่ฝนดันตกเลยอดเลย พอฝนซาจึงเดินไปท่าน้ำอีกด้านลงเรือลำละ 3 คน เห็นเด็กๆ ถือยออันน้อยๆ ช่วยกันยกหาปลาอยู่ริมตลิ่ง สองข้างทางเป็นป่าธรรมชาติจริงๆ นั่งไปตามน้ำจนไปสุดที่ปากถ้ำ..... โห น้ำเชียวจริงๆ ต้องลงเดินก่อน แล้วลงเรืออีกครั้ง ถ้ำนี้มีชื่อเหมือนชื่อหมู่บ้านเลย เห็นชาวบ้านบอกว่า เมื่อก่อนไม่รู้ว่ามันทะลุอีกฝั่งได้ ต้องเดินข้ามเขาไปสองสามวัน แต่มีอยู่วันหนึ่งเขาเป็นเป็ดป่าฝูงหนึ่งลอยน้ำอยู่ที่ปากถ้ำ และมาพบเจอมันอีกฝั่งเมื่อเดินข้ามเขามาแล้ว เลยลองชวนชาวบ้านล่องเรือลอดถ้ำดู จึงพบว่ามันทะลุๆได้จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าข้างในถ้ำใต้เขาจะกว้างใหญ่และเย็นสบาย อากาศไหลเวียนดี เขาจอดแวะกลางทางให้เดินเรียบขึ้นฝั่งไปดูหินงอกหินย้อย มีเสาหินเป็นสิบๆ ต้น ใกล้เคียงกับเสาหินที่ลำคลองงูเลย ใช้เวลาลอดถ้ำประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มมองเห็นแสงสว่างของปากถ้ำอีกทาง เมื่อออกมาแล้วมาแวะพักกันไม่ไกลมากนัก ชาวบ้านบอกว่าถ้าไปต่อจะพบหมู่บ้านใหม่ที่เริ่มสร้าง ต้องมาทางเรือเท่านั้น หรือไม่ก็เดินป่าเข้ามา ขากลับย้อนกลับทางเดิม เกือบได้เสียวกันเล็กน้อยเพราะเรือดันเกยหินเกือบล่มแนะ.....

กลับมาถึงหมู่บ้านพวกเราก็หยิบเป้อำลาเจ้าของบ้าน ที่ชวนกินข้าวอีกมื้อ โอ้...คุ้มแสนคุ้มจ่ายไปแค่หัวละ 150 บาท เองทั้งที่พัก + อาหาร 3 มื้อ จนอยากจะอยู่ต่อ แต่พวกเราอยากออกมาเที่ยวน้ำตกมากกว่า ระหว่างทางเจอทางขาดเพราะเมื่อคืนฝนตกหนัก ต้องเดินไปขึ้นรถอีกคันให้ออกไปส่งที่บ้านนาข้างนอก เลยหาที่พักแถวๆ ถนนใหญ่ไม่ไกลจากปากทางเข้าน้ำตกนัก เป็นน้ำตกสายยาวไหลตกลงมาสูงประมาณ 100 เมตรได้ เป็น 3 สาย กลางหุบเขาสวยงามมาก คุ้มกับค่าเหนื่อยที่เดินมาดู กลับออกมาหาร้านอาหารกินดันไปเจอ ท้าวทองคูณเพื่อนชาวลาวที่เคยไปขี่มอ,ไซด์ที่พูเขาควายด้วยกันเมื่อสองปีก่อน เลยคุยกันเสียนาน รถที่จะกลับท่าแขกมารับหน้าเรือนพักตอนแปดโมงเช้า ใช้เวลาน้อยกว่าเดิมเพราะขากลับเป็นทางลง เลยถึงประมาณเที่ยง ขอแวะซื้อ "ขนมปาด" ขนมขึ้นชื่อเสียหน่อย รูปร่างหน้าตาคล้ายๆ ห่อหมูยอแต่ไม่ใช่ เป็นขนมคล้ายขนมเทียน อร่อยดีหอมด้วย แถมถูกอีกต่างหาก.....บ๊าย บายคำม่วน ม่วนใจหลาย

No comments: